บทความ ความสัมพันธ์ระหว่างหลักพรหมวิหารธรรมกับจรรยาบรรณของครูที่มีต่อศิษย์
ความสัมพันธ์ระหว่างหลักพรหมวิหารธรรมกับจรรยาบรรณของครูที่มีต่อศิษย์
The Relationship between Brahmavihāra and Ethics of Teacher towards Students
ดร.บูชิตร์ โมฆรัตน์[๑]
บทคัดย่อ
พรหมวิหารธรรมเป็นหลักธรรมที่ครูพึงมีเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติเกื้อกูลแก่ศิษย์และสังคม
ซึ่งหลักพรหมวิหารธรรมนี้มีความสอดคล้องสัมพันธ์อย่างยิ่งกับจรรยาบรรณของครูที่มีต่อศิษย์ในปัจจุบัน
ด้วยว่าครูที่มีพรหมวิหารธรรมเป็นผู้มีเมตตา กรุณา และมุทิตาต่อศิษย์อย่างสมควร
เมื่อศิษย์จะต้องดำเนินชีวิตตามทางที่เลือกแล้วจากปัญญาและกรรมของเขา ครูผู้มีอุเบกขาธรรมก็พึงเฝ้าดูด้วยใจที่ปล่อยวาง
หากครูผู้มอบความเมตตา กรุณา
มุทิตาให้ศิษย์แล้วอย่างเต็มเปี่ยมจะถือว่าพึงเจริญอุเบกขาขึ้นแล้ว
ในสังคมไทยนั้นวิชาชีพครูได้รับการยอมรับให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง
นั่นคือครูจะต้องประพฤติตามจรรยาบรรณของครูที่มีรากฐานมาจากหลักพรหมวิหารธรรม
ถ้าครูมีหลักธรรมประจำใจอยู่แล้วก็จะเป็นครูผู้มีจรรยาบรรณที่สมบูรณ์ขึ้น
เป็นผู้เปี่ยมด้วยวิชาความรู้และความประพฤติที่งดงาม มีจิตใจเป็นผู้ประเสริฐและเสียสละและมุ่งประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นสำคัญ
ABSTRACT
Brahmavihāra (sublime states of
mind) is a principle that
teachers should have to behave to students and society. Brahmavihāra is consistent with the ethics of teachers
towards students in the present day, that is to say, teacher who has Brahmavihāra is considered as a teacher with compassion and
sympathy towards students. When a student must live according to select his own
passage from his own wisdom and own karma. A teacher with Upekkhā (equanimity) should watch his students with pleasure and
released. The teacher who he delivers kindness and sympathy to students shall
be considered a fully perceiving with Upekkhā. In Thailand, the teaching profession has been recognized
as a noble profession, namely, a teacher must keep the ethics of teacher with a
foundation of Brahmavihāra. If teacher has the principles of the
mind, it is more complete, is full of knowledge and correct conduct and equipped with noble sacrifices and aim to benefit others.
๑ บทนำ
ในสังคมไทยนั้นความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์มีอยู่คู่กันมายาวนาน
หน้าที่ของครูจนถึงปัจจุบันก็คือการสั่งสอนศิษย์ให้มีความรู้และคุณธรรมเพื่อให้เป็นพลเมืองดีของสังคมประเทศชาติต่อไป
เมื่อมีหน้าที่เป็นอย่างนี้[๒]
ครูจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อสังคมมาก
เพราะนอกจากครูจะคอยสั่งสอนอบรมวิชาความรู้ต่างๆแล้ว ครูยังต้องคอยเอาใจใส่ต่อสุข
ทุกข์ ของศิษย์ ความเจริญก้าวหน้าของศิษย์และคอยปกป้องมิให้ศิษย์กระทำความชั่วอีกด้วย
งานของครูเป็นงานสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์ เพราะเป็นการวางรากฐานความรู้ ความดี
และความสามารถทุกๆด้านแก่ศิษย์ เพื่อความสำเร็จ
ความก้าวหน้าและความสุขความเจริญของผู้อื่นตลอดชีวิต ครูจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติอย่างยิ่ง
เพราะครูเป็นทั้งผู้สร้าง และผู้กำหนดอนาคตของเยาวชน สังคมและประเทศชาติ
พระพุทธเจ้าในฐานะบรมครูของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับความประพฤติของคนที่เป็นครูอาจารย์เป็นอย่างมาก
โดยจะมีคำเตือนที่เพ่งไปด้านความประพฤติของผู้ที่เป็นครู คือ เรื่องความดีความชั่ว
ดังพุทธสุภาษิตที่ตรัสไว้ในหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น
“ทำตนนี่แหละให้ตั้งอยู่ในคุณความดีอันสมควรก่อน
จากนั้นจึงค่อยพร่ำสอนผู้อื่น, บัณฑิตไม่ควรมัวหมอง ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด
ก็ควรทำตนฉันนั้น”
[๓]
พระพุทธองค์ทรงเห็นถึงความสำคัญของความประพฤติและบุคลิกภาพของผู้ที่เป็นครูอาจารย์
พระองค์จึงทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องนี้
คือ[๔]
ทรงมีพระอากัปกิริยามารยาท ทุกอย่างที่งดงามน่าเลื่อมใส
เริ่มแต่สมบัติผู้ดีและมารยาทอันเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนพระบุคลิกลักษณะที่เป็นเสน่ห์ทุกประการ
พร้อมไปด้วยความองอาจความสง่างาม ความสงบเยือกเย็น การแสดงธรรมของพระองค์
นอกจากแจ่มแจ้งด้วยสัจธรรมแล้ว ยังก่อให้เกิดความเพลิดเพลินสุขใจ
ชวนให้อยากฟังใกล้ชิดพระองค์อยู่ตลอดเวลา อย่างคำชมของบุคคลต่างๆ เช่น
“เปรียบเหมือนสระใหญ่มีน้ำใส เย็น จืดสนิท
น่าเจริญใจ มีท่าราบเรียบน่ารื่นรมย์ บุรุษผู้ร้อนด้วยแสงแดดถูกแผดเผา
เหน็ดเหนื่อย หิวกระหาย เดินมาถึงเขาลงไปอาบ ดื่ม ในสระน้ำนั้น
พึงระงับความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย และความเร่าร้อนทั้งปวงได้ ฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมนั้นแล้ว ความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย
และความเร่าร้อนของเขา ก็ย่อมระงับไปได้หมดสิ้น”[๕]
พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญแก่ความประพฤติของครูอาจารย์เป็นอย่างมากนั้น
จึงได้ทรงแสดงหลักพุทธธรรมไว้อย่างหลากหลาย ให้เป็นหลักแก่ครูอาจารย์นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อ
เป็นกรอบแนวทางของคุณธรรมจริยธรรมและความประพฤติทั้งหลาย ซึ่งหลักธรรมเหล่านั้น
ล้วนแต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการประพฤติปฏิบัติตนของบุคคลในสังคมไทยและสังคมชาวพุทธมาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมองวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งแล้วจะพบว่า
หลักธรรมเหล่านี้ จะปรากฏแทรกอยู่ทั่วไปในหลักปฏิบัติที่เป็นประมวลแบบแผนพฤติกรรมการปฏิบัติตนของวิชาชีพต่างๆที่เราเรียกว่า
“จรรยาบรรณของวิชาชีพ” ในทุกๆวิชาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “วิชาชีพครู” มาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
ในส่วนของจรรยาบรรณครูนั้น
จากอดีตที่ยังไม่มีองค์กรหรือหน่วยงานที่กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้เป็นครูอาจารย์ต่างประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนาเป็นหลัก
โดยยึดถือแนวทางจากพระบรมครูและบูรพาจารย์ผู้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นหลัก
และในปัจจุบันได้มีการกำหนดจรรยาบรรณครูไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้ครูได้ประพฤติปฏิบัติตาม
โดยมีองค์กรที่กำกับดูแลส่วนนี้คือ คุรุสภา[๖]
ในฐานะสภาวิชาชีพทางการศึกษา ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๖ โดยคุรุสภาและบุคลากรของคุรุสภา
ได้ร่วมมือกันดำเนินงานตามภารกิจ และอำนาจหน้าที่ของสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานด้านต่างๆ
ได้แก่ การกำหนดและกำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ การออกและต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
การส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา การส่งเสริม สนับสนุน ยกย่องและผดุงเกียรติการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
และการควบคุมความประพฤติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ เป็นต้น
คุรุสภาได้กำหนดให้มีข้อบังคับอย่างชัดเจน ในเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีพครู
โดยมีข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.๒๕๔๖ ได้กำหนดแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครูไว้ใน
“ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๕๐” ซึ่งแบบแผนพฤติกรรมจรรยาบรรณวิชาชีพครูดังกล่าว
เมื่อสำรวจดูจะพบว่า
ล้วนเป็นหลักคุณธรรมจริยธรรมและหลักปฏิบัติที่เชื่อมโยงกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างกลมกลืน
แนวทางของจรรยาบรรณครูในยุคปัจจุบันล้วนสอดคล้องกับหลักปฏิบัติของครูอาจารย์ในยุคโบราณกาลมาทั้งสิ้น
จะต่างกันก็แต่เพียงในสมัยก่อนไม่ได้จัดตั้งองค์กรขึ้นมาทำหน้าที่กำกับดูแลอย่างชัดเจนและไม่ได้เขียนออกมาให้เป็นกฎระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้นเอง
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าข้อกำหนดแบบแผนของจรรยาบรรณของครูดังกล่าว
ต่างมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับหลักพุทธธรรมสำหรับครูอาจารย์ที่พระบรมศาสดาได้วางหลักไว้เมื่อกว่า
๒,๕๐๐ ล่วงมาแล้ว นั่นหมายความว่า แม้สมัยปัจจุบันจะบอกว่าได้มีการวางแบบแผนขึ้นมาใหม่ก็ตามก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทุกอย่างล้วนมาจากรากเหง้าเดิมที่พระบรมครูและบูรพาจารย์ได้วางหลักและยึดถือปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น
ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่าความเชื่อมโยงนี้มีความน่าสนในเป็นอย่างยิ่ง จึงได้นำเสนอให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลักพุทธธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลักพรหมวิหารธรรมกับจรรยาบรรณของครูที่มีต่อศิษย์ต่อไป
๒ ความหมายของพรหมวิหารธรรม
พรหมวิหาร[๗]
เป็นธรรมที่พวกเราชาวพุทธทั้งหลายมักได้ยินบ่อยครั้ง
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตรหลายแห่ง ตามหลักพระอภิธรรม พรหมวิหารนี้เรียกว่า
อัปปมัญญา คือ ธรรมที่ไม่มีประมาณ หมายความว่า ผู้เจริญพรหมวิหารเหล่านี้
พึงแผ่ไปในเหล่าสัตว์ผู้อยู่ในสถานที่ทั้งปวงโดยไม่จำกัดบุคคล
ทั้งปราศจากจิตผูกพันในบุคคลเหล่านั้น
คำว่า พรหมวิหาร แปลตามศัพท์ว่า ธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐ คำว่า
“ผู้ประเสริฐ” คือยอมเสียสละเพื่อบุคคลอื่น มุ่งประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นสำคัญ
ไม่เห็นแก่ตัวแต่อย่างใด
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงความหมายของ พรหมวิหาร ๔
ไว้ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมไว้ว่า[๘] พรหมวิหาร ๔ หมายถึง
ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ,
หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์,
ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ จึงจะชื่อว่าดำเนินชีวิตหมดจดและปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ทั้งลายโดยชอบ
อันประกอบไปด้วย
๑)
เมตตา คือ ความรัก
ปรารถนาดีอยากให้เขามีสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ถ้วนหน้า
๒)
กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกยากเดือดร้อนของสัตว์ทั้งปวง
๓)
มุทิตา คือ ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง
กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงอยู่ในปกติสุข
พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
๔)
อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง
อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา
คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชู ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง
พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว
สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม
รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ
เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง
หรือเขาสมควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตนเอง
จากความหมายที่กล่าวมา ผู้ดำรงในพรหมวิหาร[๙]
ย่อมช่วยเหลือมนุษย์สัตว์ทั้งหลายด้วยเมตากรุณา และย่อมรักษาธรรมไว้ด้วยอุเบกขา
ดังนั้น แม้จะมีกรุณาที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์แต่ก็ต้องมีอุเบกขาด้วยที่จะมิให้เสียธรรม พรหมวิหารนี้ บางทีแปลว่า
ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม, ธรรมเครื่องอยู่อย่างพรหม,
ธรรมประจำใจที่ทำให้เป็นพรหมหรือให้เสมอด้วยพรหม, หรือธรรมเครื่องอยู่ของท่านผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ อนึ่ง ในการที่จะเข้าใจและปฏิบัติพรหมวิหาร ๔
ให้ถูกต้อง พึงทราบรายละเอียดบางอย่าง จากความหมายโดยวิเคราะห์ศัพท์ ของธรรม ๔
ประการนั้น ดังนี้
๑)
เมตตา = (มีน้ำใจ)เยื่อใยใฝ่ประโยชน์สุขแก่คนสัตว์ทั้งหลายหรือน้ำใจปรารถนาประโยชน์สุขที่เป็นไปต่อมิตร
๒)
กรุณา = ทำความสะเทือนใจแก่สาธุชน
เมื่อคนอื่นประสบทุกข์ หรือถ่ายถอนทำทุกข์ของผู้อื่นให้หมดไป
หรือแผ่ใจไปรับรู้ต่อคนสัตว์ทั้งหลายที่ประสบทุกข์
๓)
มุทิตา =
โมทนายินดีต่อผู้ประกอบด้วยสมบัติหรือผลดีนั้นๆ
๔)
อุเบกขา = คอยมองดูอยู่
โดยละความขวนขวายว่าสัตว์ทั้งหลายจงอย่าผูกเวรกัน เป็นต้น
และโดยเข้าถึงความเป็นกลาง
พระโสภณมหาเถระ(มหาสียาดอ) อัครมหาบัณฑิต ประเทศพม่า
ผู้ซึ่งมีเกียรติคุณเลื่องชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกและแตกฉานบาลีสันสกฤตได้กล่าวถึงความหมายของพรหมวิหาร๔
ความว่า พรหมวิหาร ๔ ประการ[๑๐] ประกอบด้วยเมตตา ซึ่งแปลสั้นๆว่า ความรัก กรุณาคือความสงสาร มุทิตาคือความยินดี อุเบกขาคือความวางเฉย ใน ๔ คำนี้ มีเพียงคำว่า สงสาร
ที่แปลความได้ตรงกับคำว่า
กรุณา
โดยไม่มีความหมายอื่นเข้ามาปน
ส่วนคำว่า ความรัก นอกจากหมายถึงความเมตตาแล้ว
อาจหมายถึงความผูกพันที่ประกอบด้วยกามราคะก็ได้
และคำว่าความยินดีอาจหมายถึงความยินดีเมื่อได้รับสิ่งที่ปรารถนาก็ได้
ไม่ได้หมายถึง มุทิตาอย่างเดียว
คำว่าวางเฉยก็อาจหมายถึงความไม่สนใจใยดีก็ได้ ดังนั้น หากเราจะกล่าวถึงเมตตา มุทิตา อุเบกขา โดยใช้คำว่าความรัก ความยินดี
ความวางเฉย
มาแทนตามลำดับก็อาจจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายไม่ถูกต้อง
ดังนั้นจึงเห็นควรใช้ศัพท์ภาษาบาลี คือ
เมตตาภาวนา กรุณาภาวนา มุทิตาภาวนา
และอุเบกขาภาวนา เพื่อให้สื่อความหมายได้โดยไม่ผิดเพี้ยน
ดังนั้นจึงสรุปความเกี่ยวกับพรหมวิหารธรรมได้ว่า
พรหมวิหารธรรม คือ คุณธรรม ๔ ประการอันประกอบด้วย เมตตาภาวนาคือการพัฒนาจิตด้วยการแผ่ความปรารถนาดีให้แก่ผู้อื่น กรุณาภาวนาคือการพัฒนาจิตด้วยการแผ่ความกรุณาสงสารให้แก่ผู้ที่ได้รับความทุกข์
มุทิตาภาวนาคือ ความพลอยยินดีกับความสุขของผู้อื่น และอุเบกขาภาวนาคือ ความวางเฉย เป็นการทำใจเป็นกลางด้วยคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามอำนาจของกรรดีหรือกรรมชั่วที่แต่ละคนได้ทำไว้
โดยพรหมวิหารธรรมนี้ผู้ประเสริฐหรือผู้เป็นใหญ่พึงมีไว้เป็นหลักประจำใจ
นำไปประพฤติปฏิบัติเกื้อกูลแก่ผู้อื่นในสังคม
เพื่อก่อให้เกิดความสงบสุขแก่โลก
เป็นคุณธรรมที่เหมาะแก่คนทุกชาติทุกศาสนาควรประพฤติปฏิบัติต่อกัน
๓ จรรยาบรรณของครูที่มีต่อศิษย์
ในปัจจุบันการศึกษาของไทยได้กำหนดให้มีข้อบังคับอย่างชัดเจนในเรื่องของจรรยาบรรณวิชาชีครู
โดยคุรุสภาได้ออกเป็นข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.๒๕๔๘ และได้ให้ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณของครู
ดังนี้ [๑๑]
“ครู” หมายความว่า
บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพหลักทางด้านทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ
ในสถานศึกษาปฐมวัย ขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน
ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณวิชาชีครู
ดังนี้ [๑๒]
“ครู”
หมายความว่า ผู้สั่งสอนศิษย์,ผู้ถ่ายทดความรู้ให้ศิษย์
“จรรยาบรรณ”
หมายความว่า ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้น
เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก
อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้
ดังนั้นจากที่กล่าวมาจึงสรุปได้ว่า
คำว่า “จรรยาบรรณของครู” หมายถึง ประมวลแบบแผนพฤติกรรมการปฏิบัติตน เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพครูให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาแก่ผู้รับบริการและสังคมซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพครูต้องประพฤติปฏิบัติตาม
คุรุสภาได้กำหนดแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครูไว้ใน
“ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๕๐” ซึ่งได้กำหนดจรรยาบรรณต่อศิษย์หรือผู้รับบริการ
ดังนี้
ข้อ ๗
ครูต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจแก่ศิษย์และผู้รับบริการตามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า ครูต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัย
ที่ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกายสติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์และผู้รับบริการ ครูต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
โดยต้องประพฤติและเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรมดังตัวอย่างต่อไปนี้
(ก) พฤติกรรมที่พึงประสงค์
(๑)
ให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือศิษย์และผู้รับบริการด้วยความเมตตากรุณาอย่างเต็มกำลังความสามารถและเสมอภาค
(๒) สนับสนุนการดำเนินงานเพื่อปกป้องสิทธิเด็ก
เยาวชนและผู้ด้อยโอกาส
(๓) ตั้งใจ
เสียสละและอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ศิษย์และผู้รับบริการได้รับการ
พัฒนาตามความสามารถ ความถนัด
และความสนใจของแต่ละบุคคล
(๔) ส่งเสริมให้ศิษย์และผู้รับบริการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองจากสื่อ
อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย
(๕) ให้ศิษย์และผู้รับบริการมีส่วนร่วมวางแผนการเรียนรู้และเลือกวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับ
ตนเอง
(๖)
เสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ศิษย์และผู้รับบริการด้วยการรับฟังความคิดเห็น ยกย่อง ชมเชยและให้กำลังใจอย่างกัลยาณมิตร
(ข) พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
(๑) ลงโทษศิษย์อย่างไม่เหมาะสม
(๒)
ไม่ใส่ใจหรือไม่รับรู้ปัญหาของศิษย์หรือผู้รับบริการ
จนเกิดผลเสียหายต่อศิษย์หรือ
ผู้รับบริการ
(๓) ดูหมิ่นเหยียดหยามศิษย์หรือผู้รับบริการ
(๔) เปิดเผยความลับของศิษย์หรือผู้รับบริการ
เป็นผลให้ได้รับความอับอายหรือเสื่อมเสีย
ชื่อเสียง
(๕)
จูงใจ โน้มน้าว
ยุยงส่งเสริมให้ศิษย์หรือผู้รับบริการปฏิบัติขัดต่อศีลธรรมหรือกฎระเบียบ
(๖)
ชักชวน ใช้ จ้าง วานศิษย์หรือผู้รับบริการให้จัดซื้อ
จัดหาสิ่งเสพติด หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับ
อบายมุข
(๗)
เรียกร้องผลตอบแทนจากศิษย์หรือผู้รับบริการในงานตามหน้าที่ที่ต้องให้บริการ[๑๓]
ดังนั้นจึงสามารถสรุปความได้ว่า ประมวลแบบแผนพฤติกรรมในจรรยาบรรณวิชาชีพครูที่มีต่อศิษย์และผู้รับบริการนั้น ล้วนแล้วแต่ประกอบขึ้นจากความรัก ความเมตตา
ความปรารถนาดี
และความมีจิตใจที่บริสุทธิ์ของครู
ที่หวังจะให้ศิษย์และผู้รับบริการได้รับในสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐเพื่อให้ศิษย์และผู้รับบริการเหล่านั้นมีความรุ่งเรืองและเจริญงอกงามในชีวิตต่อไป นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ครูคือผู้ประเสริฐ
เป็นผู้เสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว
มุ่งประโยชน์ต่อผู้อื่นก็คือศิษย์และผู้รับบริการเป็นสำคัญ
๔ ความสัมพันธ์ระหว่างพรหมวิหารธรรมกับจรรยาบรรณของครูที่มีต่อศิษย์
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า ธรรม คือหน้าที่ การปฏิบัติธรรมก็คือการทำหน้าที่ คือให้คนทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนสมบูรณ์
นั่นหมายถึงเราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ดังนั้น
ผู้เขียนเห็นว่า หน้าที่ของครูที่มีต่อศิษย์หรือผู้รับบริการก็คือต้องปฏิบัติตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
จึงจะถือได้ว่าครูได้ปฏิบัติธรรม มีธรรมเป็นเครื่องประจำตัวประจำใจ
และได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ ซึ่งตรงกับความหมายของพรหมวิหารธรรม
ซึ่งสามารถแสดงได้ดังนี้
แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของพรหมวิหารธรรมกับคุณธรรมของครู
จากแผนภาพดังกล่าว
สามารถแจกแจงให้เข้าใจเพิ่มเติมได้ดังนี้
เมตตา : ครูต้องรักเมตตาศิษย์ทุกคนด้วยอาการเกื้อกูล
คือต้องการจะอำนวยประโยชน์ต่อศิษย์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ไม่เมตตาแบบมีจิตพันผูก ดังเช่น
พ่อแม่มีจิตพันผูกกับลูก
มิตรสหายมีจิตพันผูกต่อกัน เป็นต้น
เพราะจิตพันผูกกันนี้จะไม่เป็นเมตตาที่แท้จริงตามหลักพรหมวิหารธรรม
เมตตาที่แท้จริงจะต้องมีความปรารถนาดีต่อทุกคนที่รู้จักหรือไม่รู้จัก
ทั้งที่รักหรือชังก็ตาม นั่นคือ ถ้าขึ้นชื่อว่า “ศิษย์” จะมาจากไหน จะเป็นใคร
จะร่ำรวยหรือยากจน จะรูปงามหรือรูปทราม จะมีปัญญาดีหรืออับปัญญา
หรือใดๆก็แล้วแต่
ครูต้องมีเมตตาที่แท้จริงตามหลักพรหมวิหารธรรม
ต่อศิษย์เหล่านั้นถ้วนทั่วกันทุกคน
กรุณา : ครูต้องมีความกรุณาสงสารต่อศิษย์
ความกรุณา ก็คือสภาวะที่ทำให้ผู้ประเสริฐเกิดความสะท้อนใจเมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์
ทุกข์เกิดจากความไม่รู้ เมื่อเขามีความไม่รู้ ต้องสอนให้เขารู้ ครูที่เห็นศิษย์ตกอยู่ในความทุกข์แล้วเกิดความสะท้อนใจ
อยากช่วยให้เขามีความรู้มีปัญญาเพื่อให้พ้นทุกข์นั้น
แสดงว่าครูเป็นผู้ประเสริฐที่มีความกรุณาตามหลักพรหมวิหารธรรมแล้ว
มุทิตา : ครูต้องมีความยินดี
เมื่อศิษย์ได้ดีหรืออยู่ดีมีสุข เห็นเขามีจิตผ่องใสบันเทิง
แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอเป็นปกติสุข ครูก็พลอยยินดีด้วย เมื่อเขาได้ดีมีสุข
เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป มุทิตา
จะมีลักษณะชื่นชม นั่นคือ
ครูจะเกิดมุทิตาได้ก็ต่อเมื่อเห็นศิษย์เจริญก้าวหน้าได้ดี
ซึ่งจะตรงกันข้ามกับการเกิดกรุณา เพราะกรุณาจะเกิดเมื่อเห็นศิษย์ตกต่ำหรือมีทุกข์ แต่ความจริงแล้ว มุทิตานี้เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
เพราะในจิตใจของมนุษย์จะมีกิเลสหรือความริษยาครอบงำอยู่
ครูที่เจริญในพรหมวิหารธรรมเท่านั้นที่พึงจะกำจัดความริษยานี้ได้
จึงจะมีมุทิตาที่แท้จริงต่อศิษย์สมกับเป็นครูผู้ประเสริฐ
อุเบกขา : ครูต้องรู้จักปล่อยวางใจเป็นกลางต่อศิษย์ตามที่เขาสมควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตนเอง
หมายความว่า เมื่อครูพึง เมตตา กรุณา และมุทิตา ต่อศิษย์อย่างสมควรแล้ว
ถึงวันหนึ่งจุดหนึ่งก็ต้องเป็นเวลาของศิษย์ที่จะต้องดำเนินชีวิตไปตามหนทางที่เขาเลือก
ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของตัวเขาเอง ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละบุคคล
ครูต้องเฝ้าดูด้วยใจที่เป็นกลางและยอมรับความจริงว่าเป็นทางที่เขาได้เลือกแล้ว
เป็นกรรมของแต่ละบุคคลที่จะนำพาชีวิตของเขา
แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครูในข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ. ๒๕๕๐ นั้น ได้กำหนดจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ความว่า “ครูต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจแก่ศิษย์และผู้รับบริการตามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า ครูต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัย
ที่ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกายสติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์และผู้รับบริการ ครูต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ”[๑๔]
จากข้อความข้างต้น
สามารถอธิบายความสัมพันธ์กับหลักพรหมวิหารธรรมเพื่อให้เกิดความชัดเจนได้ดังนี้
๔.๑ เมตตาธรรมต่อศิษย์
เมื่อครูมีเมตตาต่อศิษย์ตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ. ๒๕๕๐ นั้น ครูต้องประกอบด้วย ความรักและเมตตา ความเอาใจใส่ การให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริมสนับสนุน และให้กำลังใจ
เพราะเหล่านี้ถือเป็นความเมตตาที่มีต่อศิษย์ให้ได้รับความสุขความสบายทั้งทางกาย ทางจิตใจและทางสติปัญญาทุกคน เพราะถ้าศิษย์ได้รับความรักและเมตตาที่จริงใจก็จะเกิดความสุขใจ
ครูให้ความช่วยเหลือก็จะเกิดการเรียนรู้มีสติปัญญาที่ดี
ส่งเสริมให้ศิษย์เดินทางชีวิตได้เหมาะสมกับความสามารถและสติปัญญาใช้ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร
และให้กำลังใจเมื่อเขาเกิดความท้อแท้และหาทางออกของชีวิตไม่ได้ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็น “การเมตตาต่อชีวิตของศิษย์”
ซึ่งก็คือเมตตาให้เกิดปัญญาโดยการให้การศึกษาเพราะ “ชีวิตคือการศึกษา” [๑๕]
หรือชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีการศึกษา มีการเรียนรู้
หรือมีการฝึกฝนและพัฒนาไปด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า การดำเนินชีวิตที่ดี จะเป็นชีวิตแห่งสิการศึกษาไปในตัว ชีวิตขาดการศึกษาไม่ได้
ถ้าขาดการศึกษาก็ไม่เป็นชีวิตที่ดี
ที่จะอยู่ได้อย่างดีหรือแม้แต่จะอยู่ให้รอดไปได้
ดังนั้นครูต้องมีเมตตาธรรมนี้ ตามจิตสำนึกของความเป็นครูที่ดีโดยแท้จริง
๔.๒ กรุณาธรรมต่อศิษย์
การที่ครูมีกรุณาธรรม คือ ครูต้องมีความสงสารต่อศิษย์
ก็คือสภาวะที่ทำให้ผู้เป็นครูเกิดความสะท้อนใจเมื่อเห็นศิษย์มีทุกข์
ทุกข์ของเขาเกิดจากความไม่รู้
เมื่อเขามีความไม่รู้ ต้องสอนให้เขารู้
นั่นคือ สอนให้ศิษย์เกิดการเรียนรู้และมีความรู้
สอนให้มีทักษะชีวิตเพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม บ่มเพาะลักษณะนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้เป็นผู้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์
นั่นคือครูเป็นผู้มีกรุณาธรรมนำชีวิตของศิษย์ให้พ้นจากสภาวะแห่งทุกข์นั้นนั่นเอง
ความมีกรุณาธรรมของครูที่มีต่อศิษย์นั้น
เทียบได้เพียงน้อยนิดยิ่งนักหากดูจากพระมหากรุณาคุณของพระพุทธองค์[๑๖] หลังจากที่ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
แม้พระองค์จะสามารถหาความสุขได้ด้วยการพักผ่อน
ไม่ต้องกังวลกับการเทศนาสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย แต่ก็มิได้ทรงทำเช่นนั้น ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา
ทรงเทศนาสั่งสอนทั้งกลางวันและกลางคือจนแทบไม่ได้พักผ่อน ทรงอดกลั้นต่อความเหนื่อยยากลำบาก
เพราะทรงมีพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ต่อเหล่าสัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำแห่งสงสารวัฏอันหาที่สุดมิได้นี้
ดังนั้น
ครูผู้มีพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ ในกรอบของหลักกรุณาธรรมนั้น จะต้องมีกรุณาคุณอันสูงส่งต่อศิษย์ มุ่งสอนศิษย์ให้พ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา
โดยมิเห็นแก่อามิสสินจ้าง และมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยต่อการสอน
ครูที่ความมีกรุณาคุณนี้จะมีสภาพอ่อนโยนนุ่มนวลอย่างยิ่งทั้งทางกาย
วาจา และจิตใจ เป็นคนที่มีจิตใจดี ในทางตรงกันข้าม
ครูที่ไม่สงสารศิษย์ที่กำลังโง่เขลาเบาปัญญาหรือตกทุกข์ได้ยากจึงเป็นครูไม่ดี
เหตุนี้กรุณาธรรมจึงเป็นธรรมของครูที่ดีตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพของครูดี
๔.๓ มุทิตาธรรมต่อศิษย์
มุทิตาของครู คือ ครูต้องพลอยมีความยินดี
เมื่อศิษย์ได้ดีหรืออยู่ดีมีสุข เห็นเขามีจิตผ่องใสบันเทิง
แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอเป็นปกติสุข และมุทิตา จะมีลักษณะชื่นชม
ครูจะเกิดมุทิตาได้ ก็ต่อเมื่อเห็นศิษย์เจริญก้าวหน้าได้ดี เหตุนี้
ความพลอยยินดีทั้งหลายนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็จากความดีของครูที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งทางกาย
วาจา และจิตใจ เมื่อครูเป็นแบบอย่างที่ดีจนศิษย์ได้เอาเป็นแบบอย่างจนเจริญก้าวหน้าขึ้นไป
ครูผู้มีมุทิตาธรรมย่อมเกิดความยินดีนั้นและจะไม่ประพฤติปฏิบัติตนขัดขวางหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทั้งทางกาย สติปัญญา
จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์
การที่ครูประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีจนศิษย์ได้เอาเป็นแบบอย่างแล้วเจริญก้าวหน้าขึ้นไป
และครูไม่ประพฤติปฏิบัติตนขัดขวางหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญของศิษย์นั้นจะมีผลให้ศิษย์มีความสูงส่งยิ่งขึ้นจนอาจสูงส่งกว่าครูของตนก็เป็นได้ ซึ่งการที่ศิษย์ได้ดีสูงส่งกว่าครูนั้นจะเป็นผลดีต่อครูผู้มีมุทิตาธรรมเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเจริญมุทิตาแก่คนอื่นที่สูงกว่าเราทำได้ง่าย
แต่หากเจริญมุทิตาแก่คนที่เสมอหรือต่ำกว่าเราจะทำได้ยาก เพราะเราจะเกิดเมตตาธรรมหรือเกิดกรุณาธรรมเสียมากกว่า
เพราะมุทิตาธรรมของครูจะเกิดก็ต่อเมื่อเห็นศิษย์เจริญก้าวหน้าดังที่กล่าวมาแล้ว และครูดีที่ประพฤติตามตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพนั้น
คือครูผู้มีมุทิตาธรรมทั้งทางกาย
วาจา และจิตใจ
ทางกายก็คือการช่วยเหลือให้ศิษย์ที่ประสบผลสำเร็จอยู่แล้วให้ประสบความสำเร็จให้ยิ่งขึ้นไป ทางวาจาก็คือพูดแนะนำให้ศิษย์ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไปและทางใจก็คือเป็นการพลอยยินดีกับความสำเร็จของศิษย์นั้น
๔.๔ อุเบกขาธรรมต่อศิษย์
สำหรับอุเบกขาธรรมของครูนั้น
เกิดจากจิตของครูที่ได้จากการเจริญพรหมวิหาร ๓ ข้างต้น คือ เมตตาธรรม กรุณาธรรม
และมุทิตาธรรม ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ว่าจิตของผู้เจริญอุเบกขา[๑๗]
เป็นจิตยากที่จะถือเอาสิ่งไม่มี เพราะเป็นผู้เพิกเฉยต่อการถือเอประโยชน์ของผู้อื่น
มีสุข มีทุกข์ เป็นต้น
ไม่มีคำนึงว่าใครจะอยู่เป็นสุขหรือจะพ้นทุกข์ก็ตาม
เมื่อมีจิตคุ้นในการเพิกเฉยต่อการถือเอาประโยชน์ของผู้อื่น และมีจิตยากที่จะถือเอาสิ่งที่ไม่มีจริงๆ
ก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะที่ได้บรรลุตามลำดับแล้ว
นำจิตเข้าไปในสิ่งที่ไม่มีแห่งวิญญาณไม่ยากเลย
อุเบกขาจึงเป็นอุปนิสัยแห่งอากิญจัญญายตนวิโมกข์โดยนัยดังกล่าว
ไม่เป็นอุปนิสัยแห่งวิโมกข์ที่สูงไปกว่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงตรัสอุเบกขาว่าเป็นอากิญจัญญายตนปรมา
คือ เป็นฌาน มีอากิญจัญญายตนวิโมกข์เป็นยอด
ดังนั้นจึงสรุปความได้ว่า เมื่อครูพึง เมตตา
กรุณา และมุทิตาต่อศิษย์อย่างสมควรแล้ว ต่อไปเบื้องหน้าก็ถึงเวลาของศิษย์ที่จะต้องดำเนินชีวิตไปตามภูมิความรู้และภูมิธรรมที่ได้จากครูเพื่อเลือกหนทางที่เลือกแล้วจากปัญญาและกรรมของเขา ซึ่งจากนี้ไปก็จะเป็นความรับผิดชอบของตัวเขาเอง
ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ครูผู้มีอุเบกขาธรรมก็พึงต้องเฝ้าดูด้วยใจที่ปล่อยวาง
โดยปราศจากความรัก ความสงสารและความยินดียินร้ายแต่อย่างใด และยอมรับความจริงว่าเป็นทางที่เขาได้เลือกแล้ว
เป็นกรรมของเขาที่จะนำพาชีวิตของเขาเอง และที่สำคัญก็ดังเช่นที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวไว้ในข้างต้นแล้วและต้องการตอกย้ำถึงความมีอุเบกขาของครู ก็คือ “ครูผู้มีอุเบกขา
ไม่ใช่ผู้ที่ปล่อยศิษย์ทิ้งขว้างไปตามยถากรรม หากแต่เป็นครูผู้มอบความเมตตา กรุณา
มุทิตา ให้ศิษย์แล้วอย่างเต็มเปี่ยม
จึงเจริญอุเบกขาขึ้นตามหลักพรหมวิหารธรรมของครูผู้ประเสริฐต่อไป”
๕ สรุป
จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของหลักพรหมวิหารธรรมกับแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครูในข้อบังคับคุรุสภาแล้วนั้น
จะเห็นได้ว่าหลักพรหมวิหารธรรมนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องอย่างยิ่งกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูที่มีต่อศิษย์
เพราะในแบบแผนพฤติกรรมนั้น ครูจะต้องมีพรหมวิหาร ๔ อันได้แก่ เมตตา คือรักเมตตาศิษย์ทุกคน
ต้องอำนวยประโยชน์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆต่อศิษย์เหล่านั้นทุกคน มีกรุณาคือต้องมีความกรุณาสงสารต่อ
เมื่อศิษย์โง่เขลา ต้องสอนให้รู้ให้มีปัญญาเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ที่โง่เขลานั้น การมีมุทิตาคือมีความยินดีเมื่อเห็นศิษย์ได้ดีมีสุข
พลอยยินดีเมื่อเขาเจริญงอกงามในชีวิตด้าน มีอุเบกขาคือรู้จักปล่อยวางใจเป็นกลางตามสมควร
เมื่อศิษย์ได้รับผลอันที่เกิดขึ้นจากความรับผิดชอบของเขาเอง โดยที่ครูได้ให้ เมตตา
กรุณา และมุทิตาไปอย่างสมควรแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขาที่จะนำพาชีวิตของเขาไปเช่นนั้น
ในสังคมไทยปัจจุบัน วิชาชีพครู
ได้รับการยอมรับให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง นั่นคือ
ผู้ที่จะมาเป็นครูจะต้องประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครูที่ได้กำหนดไว้โดยเคร่งครัด
ซึ่งแบบแผนพฤติกรรดังกล่าวก็มาจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
ซึ่งก็คือหลักพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง ถ้าครูมีหลักธรรมประจำใจอยู่แล้วก็จะเป็นครูผู้มีจรรยาบรรณที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
เป็นครูผู้สมบูรณ์ด้วยวิชาความรู้และความประพฤติที่งดงามทั้งภายนอกและภายใน มีจิตใจเป็นผู้ประเสริฐ
เป็นผู้มีธรรมอันเป็นอัปปมัญญา เสียสละเพื่อบุคคลอื่น มุ่งประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นสำคัญ
สมกับเป็นผู้ประกอบวิชาชีพแห่งผู้สร้างวิชาชีพอื่นๆที่ชาวโลกยกย่องสืบไป
บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย – บาลี
ก. เอกสารชั้นปฐมภูมิ
(Primary Sources)
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
ข.
เอกสารชั้นทุติยภูมิ (Secondary Sources)
(๑) หนังสือ :
คณะกรรมการข้าราชการครู.
สำนักงาน. เอกสารพัฒนาวินัยข้าราชการครูการบริหารวินัย
ข้าราชการครู.กรุงเทพมหานคร
: กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๐.
บุณย์ นิลเกษ(เปรียญ).คัมภีร์วิสุทธิมรรคสำหรับประชาชน.
กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา,๒๕๓๗.
พระครูสุวิธานพัฒนบัณฑิต. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก.
พิมพ์ครั้งที่ ๒. ขอนแก่น :
โรงพิมพ์
คลังนานาวิทยา, ๒๕๕๗.
พระคันธสาราภิวงศ์.คุณธรรมของคนดีและพรหมวิหาร
๔. กรุงเทพมหานคร :
ไทยรายวันการพิมพ์,
๒๕๔๗.
พระคันธสาราภิวงศ์.พรหมวิหาร.
กรุงเทพมหานคร :
ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์,๒๕๕๕.
พระพรหมคุณาภรณ์
(ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑๖.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัท เอส.อาร์. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์ จำกัด, ๒๕๕๑.
________.
พุทธธรรม (ฉบับเดิม). พิมพ์ครั้งที่ ๒๕.
นนทบุรี : เพิ่มทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๕๓.
พระมหาอดิศร ถิรสีโล. คุณธรรมสำหรับครู.
กรุงเทพมหานคร : โอเรียนสโตร์, ๒๕๔๐.
พุทธทาสภิกขุ. ธรรมสำหรับครู. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์นิพพาน, ๒๕๒๙.
ยนต์ ชุ่มจิต.ปรัชญาและคุณธรรมสำหรับครู.
กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์แพร่วิทยา, ๒๕๒๖.
ราชกิจจานุเบกษา.ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ.
๒๕๕๐. เล่ม
๑๒๔ ตอนพิเศษ ๕๑ ง. ๒๗ เมษายน ๒๕๕๐.
________. ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ.
๒๕๔๘. เล่ม
๑๓๐ ตอนพิเศษ ๑๓๐ ง. ๔ ตุลาคม
๒๕๔๘.
ราชบัณฑิตยสถาน.พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน.
กรุงเทพมหานคร :
อักษรเจริญทัศน์,
๒๕๒๕.
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู
กระทรวงศึกษาธิการ. คุณธรรมและจิตสำนึกของข้าราชการ
ครู.
กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔.
สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา.
แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณครู พ.ศ.๒๕๓๙.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว,
๒๕๔๑.
สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา คุรุสภา. รายงานประจำปี
พ.ศ.๒๕๕๔. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
บริษัท โบนัสพรีเพลส จำกัด, ๒๕๕๕.
คำอธิบายการใช้สัญลักษณ์และคำย่อ
ในบทความนี้ผู้เขียนได้อ้างอิงข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ ๒๕๓๙ อรรถกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยโดยใช้อักษรย่อแทนชื่อเต็มของคัมภีร์ตามระบบการอ้างอิง
คือ ใช้ระบบอ้างอิง (เล่ม/ข้อ/หน้า) ตัวอย่างเช่น ว.มหา.
(ไทย) ๑/๒๐๗/๑๙๒ หมายถึง วินัยปิฎก มหาวิภังค์
(ภาษาไทย) ที.ปา
(ไทย) ๑๑/๒๓๑/๒๓๓ หมายถึง สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย
ปาฏิกวรรค ภาษาไทย เล่ม ๑๑ ข้อ ๒๓๑ หน้า ๒๓๓ เป็นต้น
พระวินัยปิฎก
-
พระสุตตันตปิฎก
องฺ.ปญฺจก. (ไทย) =
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต
(ภาษาไทย)
ขุ.ธ. (ไทย) =
สุตฺตันตปิฎก ขุทฺทกนิกาย ธรรมบท (ภาษาไทย)
พระอภิธรรมปิฎก
-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น